
โรคคอตีบ หรือ ดิฟทีเรีย (diphtheria) เป็นโรคติดต่อที่เกิดขึ้นฉับพลันและร้ายแรง พบได้ประปรายตลอดปี บางครั้งอาจพบระบาด
ปัจจุบันพบผู้ป่วยคอตีบน้อยมาก เนื่องจากมีการฉีดวัคซีนป้องกันอย่างทั่วถึง ผู้ป่วยที่พบนั้นมักมีประวัติไม่ได้ฉีดวัคซีนป้องกันหรือฉีดไม่ครบ ซึ่งมักเป็นกลุ่มเด็กที่ยากจน หรืออาศัยอยู่บริเวณชายแดน หรือกลุ่มคนอพยพจากประเทศเพื่อนบ้าน และส่วนมากจะพบในเด็กอายุ 1-10 ปี
สาเหตุ
เกิดจากเชื้อคอตีบ ซึ่งเป็นเชื้อแบคทีเรียที่มีชื่อว่า โครินแบคทีเรียมดิฟทีเรีย (Corynbacterium diphtheriae) ซึ่งมีอยู่ในน้ำมูก น้ำลาย หรือเสมหะของผู้ป่วยหรือผู้ที่เป็นพาหะของโรค ส่วนมากติดต่อโดยการหายใจสูดเอาฝอยละอองเสมหะที่ผู้ป่วยไอหรือจามรด
เชื้อคอตีบจะปล่อยสารพิษ (exotoxin) ออกมาทำลายเนื้อเยื่อต่าง ๆ โดยเฉพาะเยื่อบุคอหอย กล้ามเนื้อหัวใจ และเส้นประสาท
ระยะฟักตัว ประมาณ 1-7 วัน (เฉลี่ย 3 วัน)
อาการ
ผู้ป่วยจะมีอาการไข้ต่ำ ๆ ปวดศีรษะ ครั่นเนื้อครั่นตัว เจ็บคอ กลืนลำบาก คลื่นไส้ อาเจียน และมีท่าทางอ่อนเพลียมาก
ถ้ามีการอักเสบของกล่องเสียง ผู้ป่วยจะมีอาการเสียงแหบ ไอเสียงก้อง (คล้ายเสียงเห่าหรือเสียงร้องของแมวน้ำ) มีเสียงฮื้ด (stridor)*ตอนหายใจเข้า หายใจลำบาก ตัวเขียว
ในรายที่มีการอักเสบของโพรงจมูก (ซึ่งพบได้ส่วนน้อย) อาจทำให้มีเลือดปนน้ำเหลืองไหลออกจากจมูกซึ่งส่วนใหญ่จะออกจากรูจมูกเพียงข้างเดียว
* เป็นเสียงที่เกิดจากลมหายใจวิ่งผ่านรูกล่องเสียงที่ตีบแคบ เนื่องจากกล่องเสียงมีการอุดกั้นจากเยื่อบุผิวที่อักเสบบวม หรือจากสาเหตุอื่น ทำให้เกิดเสียงดังฮื้ดในช่วงจังหวะของการหายใจเข้า บางครั้งอาจเกิดตามหลังอาการไอ เสียงฮื้ดนี้พบได้ในโรคคอตีบ ครู้ป สำลักสิ่งแปลกปลอม ไอกรน กล่องเสียงบวมจากการแพ้รุนแรง (angioedema) เนื้องอกที่กล่องเสียง ฝากล่องเสียงอักเสบ (epiglottitis) เป็นต้น
เสียงฮื้ด ต่างจากเสียงวี้ด (wheezing) ซึ่งเกิดจากลมวิ่งผ่านหลอดลมที่ตีบ เช่น โรคหืด หลอดลมพอง หลอดลมอักเสบ มีเสียงดังวี้ดในช่วงจังหวะของการหายใจออก
ภาวะแทรกซ้อน
ที่ร้ายแรง คือ ภาวะอุดกั้นทางเดินหายใจส่วนบน เนื่องจากแผ่นเยื่อปิดกั้นกล่องเสียง ซึ่งจะพบในวันที่ 2-3 ของโรค หากไม่ได้รับการช่วยเหลือด้วยการเจาะคอช่วยหายใจได้ทันท่วงที ผู้ป่วยมักจะเสียชีวิต
ภาวะแทรกซ้อนที่สำคัญอื่น ๆ ได้แก่ กล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ (myocarditis) และเส้นประสาทอักเสบ (neuritis) จากสารพิษที่เชื้อปล่อยออกมา
โรคกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ มักเกิดขึ้นระหว่างวันที่ 10-14 ของการเจ็บป่วย (แต่อาจพบได้ระหว่างสัปดาห์แรกถึงสัปดาห์ที่ 6) โดยเฉพาะในผู้ป่วยที่มีอาการคอวัว ทำให้มีอาการหัวใจเต้นผิดจังหวะ (ชีพจรเต้นไม่สม่ำเสมอ) ถ้ารุนแรงอาจเกิดภาวะหัวใจวาย และอาจทำให้เสียชีวิตอย่างฉับพลัน (มีอัตราตายจากภาวะนี้สูงถึงร้อยละ 50)
เส้นประสาทอักเสบ ทำให้กล้ามเนื้อส่วนต่าง ๆ ของร่างกายเป็นอัมพาต ผู้ป่วยอาจมีอาการกลืนลำบาก พูดเสียงขึ้นจมูก ขย้อนน้ำและอาหารออกทางจมูก (เนื่องจากกล้ามเนื้อเพดานอ่อนเป็นอัมพาต มักมีอาการตั้งแต่สัปดาห์ที่ 3 ของโรค) หรืออาจมีอาการตาเหล่ เห็นภาพซ้อน (เนื่องจากกล้ามเนื้อตาเป็นอัมพาต มักมีอาการในสัปดาห์ที่ 5 ของโรค) หรืออาจทำให้แขนขาเป็นอัมพาต (มักพบในสัปดาห์ที่ 6-10 ของโรค) อาการเหล่านี้มักเป็นเพียงชั่วคราวและหายได้ในที่สุด
บางรายอาจมีอาการอัมพาตของกะบังลม ทำให้หายใจลำบาก อาจทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิตได้ มักพบในสัปดาห์ที่ 5-7 ของโรค
นอกจากนี้ ยังอาจทำให้มีโรคแทรกซ้อนอื่น ๆ เช่น ปอดอักเสบ ไตทำงานผิดปกติ (ตรวจพบสารไข่ขาวในปัสสาวะ ปัสสาวะออกน้อย เป็นต้น)

การวินิจฉัย
แพทย์จะวินิจฉัยเบื้องต้นจากอาการ ประวัติการเจ็บป่วย และการตรวจร่างกาย
มักตรวจพบไข้ 38.5-39 องศาเซลเซียส หายใจหอบ คอบุ๋ม ชีพจรเต้นเร็ว
การตรวจคอ มักพบแผ่นเยื่อสีเทาหรือเหลืองปนเทา (gray/grayish yellow pseudomembrane) แลดูคล้ายเศษผ้าสกปรกยึดติดแน่นกับเนื้อเยื่อปกติอยู่บนทอนซิล คอหอยลิ้นไก่ และเพดานปาก ซึ่งเขี่ยออกยาก ถ้าฝืนเขี่ยจะทำให้มีเลือดออกได้
ต่อมน้ำเหลืองที่คอมักจะโต
บางรายอาจมีอาการคอบวมมาก คล้าย ๆ คอวัว เรียกว่า อาการคอวัว (bull neck) ซึ่งบางรายอาจกดทับหลอดเลือดดำที่คอ ทำให้ใบหน้ามีสีคล้ำจากการมีเลือดคั่ง
แพทย์จะทำการวินิจฉัยให้แน่ชัด โดยการนำหนองในลำคอไปตรวจย้อมดูเชื้อและเพาะเชื้อ อาจตรวจเลือด (พบเม็ดเลือดขาวสูงกว่าปกติ) ตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจในรายที่สงสัยว่ามีกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบร่วมด้วย

การรักษาโดยแพทย์
แพทย์จะรับตัวผู้ป่วยไว้ในโรงพยาบาล นอกจากให้การรักษาตามอาการแล้ว ที่สำคัญ คือ ให้ยาต้านพิษคอตีบ และยาปฏิชีวนะ เช่น เพนิซิลลินจีชนิดฉีด หรือ อีริโทรไมซินชนิดกิน
ในรายที่หายใจลำบาก อาจต้องเจาะคอช่วยหายใจ
ผลการรักษา ถ้าได้รับการรักษาตั้งแต่แรกเริ่ม ก็จะหายได้ภายใน 1-2 เดือน แต่ถ้าได้รับการรักษาช้าไป ก็อาจมีภาวะแทรกซ้อนร้ายแรง หรือเสียชีวิตได้
การดูแลตนเอง
1. หากมีอาการไข้ เจ็บคอ หายใจลำบาก หรือสงสัยเป็นโรคคอตีบ ควรรีบไปพบแพทย์ทันที เมื่อตรวจพบว่าเป็นโรคคอตีบ ควรรับการดูแลรักษาที่โรงพยาบาล ปฏิบัติตามคำแนะนำ และแนวทางการรักษาของแพทย์อย่างจริงจังและต่อเนื่อง
2. เมื่อออกจากโรงพยาบาลแล้ว ควรปฏิบัติ ดังนี้
2. เมื่อออกจากโรงพยาบาลแล้ว ควรปฏิบัติ ดังนี้
- กินยา ปฏิบัติตัวตามที่แพทย์แนะนำ และไปตรวจกับแพทย์ตามนัด
- นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ และหลีกเลี่ยงการทำงานหรือกิจกรรมที่ใช้แรงมาก
- เฝ้าสังเกตตัวเองอย่างใกล้ชิด
- ควรกลับไปพบแพทย์ก่อนนัด หากมีอาการผิดปกติ (เช่น แขนขาอ่อนแรง หายใจลำบาก เจ็บหน้าอก หัวใจเต้นผิดจังหวะ เป็นต้น) หรือกินยาแล้วสงสัยเกิดผลข้างเคียงจากยา (เช่น มีลมพิษ ผื่นคัน ตุ่มพุพอง ตาบวม ปากบวม คลื่นไส้ อาเจียน หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ)
3. ผู้สัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วย ควรไปพบแพทย์เพี่อทำการป้องกันไม่ให้เป็นโรคนี้
การป้องกัน
1. โรคนี้สามารถป้องกันด้วยการฉีดวัคซีนรวมป้องกันคอตีบ บาดทะยัก และไอกรน (DTP) ตั้งแต่อายุได้ 2 เดือน
2. สำหรับผู้สัมผัสโรค หรือผู้ที่อยู่ใกล้ชิดกับผู้ป่วย ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อทำการป้องกัน โดย
2. สำหรับผู้สัมผัสโรค หรือผู้ที่อยู่ใกล้ชิดกับผู้ป่วย ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อทำการป้องกัน โดย
- ทำการเพาะเชื้อจากคอหอย ติดตามอาการเป็นเวลา 7 วัน และให้ยาอีริโทรไมซิน กินป้องกันนาน 7 วัน
- ฉีดวัคซีนป้องกันถ้าไม่เคยฉีดมาก่อน ถ้าเคยฉีดวัคซีนป้องกันมาก่อนและเข็มสุดท้ายได้รับมานานเกิน 5 ปี มาแล้ว ควรฉีดวัคซีนกระตุ้น
ข้อแนะนำ
1. ควรแยกผู้ป่วยออกต่างหาก และทำการกำจัดน้ำมูก น้ำลาย เสมหะของผู้ป่วย
2. เนื่องจากผู้ป่วยอาจมีกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบหรือเส้นประสาทอักเสบแทรกซ้อน เมื่อกลับจากโรงพยาบาลแล้วควรระวังอย่าให้ร่างกายตรากตรำ จนกว่าจะปลอดภัยและควรเฝ้าสังเกตอาการอย่างใกล้ชิด ถ้าสงสัยมีโรคแทรกซ้อนเกิดขึ้นควรรีบไปพบแพทย์
3. เชื้อคอตีบอาจทำให้เกิดแผลเรื้อรังที่ผิวหนังได้ ถ้าพบแผลเรื้อรังในคนที่สัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วยคอตีบก็อย่าลืมนึกถึงสาเหตุจากเชื้อคอตีบ ดกทดก
2. เนื่องจากผู้ป่วยอาจมีกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบหรือเส้นประสาทอักเสบแทรกซ้อน เมื่อกลับจากโรงพยาบาลแล้วควรระวังอย่าให้ร่างกายตรากตรำ จนกว่าจะปลอดภัยและควรเฝ้าสังเกตอาการอย่างใกล้ชิด ถ้าสงสัยมีโรคแทรกซ้อนเกิดขึ้นควรรีบไปพบแพทย์
3. เชื้อคอตีบอาจทำให้เกิดแผลเรื้อรังที่ผิวหนังได้ ถ้าพบแผลเรื้อรังในคนที่สัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วยคอตีบก็อย่าลืมนึกถึงสาเหตุจากเชื้อคอตีบ ดกทดก