
โรคแพนิก (โรคตื่นตระหนก) เป็นภาวะวิตกกังวลหรือมีความรู้สึกกลัวอย่างรุนแรงที่เกิดขึ้นฉับพลันทันทีโดยไม่คาดคิดมาก่อน อาการแต่ละครั้งจะเป็นอยู่ช่วงไม่นาน และมีลักษณะกำเริบซ้ำๆ
มักมีอาการเกิดขึ้นครั้งแรกในช่วงอายุ 17-30 ปี (เฉลี่ย 25 ปี)
พบได้ประมาณร้อยละ 3-5 ของประชากรทั่วไป และพบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชายประมาณ 2-3 เท่า
สาเหตุ
ยังไม่ทราบแน่ชัด สันนิษฐานว่าอาจเกี่ยวกับความผิดปกติทางพันธุกรรม ซึ่งพบว่าผู้ที่มีพ่อแม่พี่น้องเป็นโรคนี้มีโอกาสเป็นโรคนี้มากกว่าคนทั่วไป
นอกจากนี้ยังอาจเกี่ยวข้องกับปัจจัยด้านจิตใจและด้านด้านชีวภาพ
ปัจจัยด้านจิตใจ เชื่อว่าความวิตกกังวลที่เกิดขึ้นนั้นเป็นการเลียนแบบมาจากพ่อแม่ที่มีอาการในลักษณะเดียวกับผู้ป่วย หรือเกิดจากที่ผู้ป่วยเคยมีอาการแพนิกในขณะที่มีสิ่งกระตุ้นหรืออยู่ในสถานที่บางลักษณะ เมื่อเจอสิ่งกระตุ้นหรือสถานที่ลักษณะนั้น ก็เกิดอาการกำเริบซ้ำอีก
ส่วนปัจจัยด้านชีวภาพ พบว่า ระบบประสาทอัตโนมัติส่วนซิมพาเทติกของผู้ป่วยมีความไวต่อสิ่งกระตุ้นต่าง ๆ หรือมีการตอบสนองอย่างผิดปกติต่อสารส่งผ่านประสาท (neurotransmitters) ได้แก่ นอร์เอพิเนฟรีน ซีโรโทนิน กรดแกมมาอะมิโนบูไทริก (gamma-amino-butyric acid/PABA) หรือเกิดจากสารเหนี่ยวนำ เช่น คาร์บอนไดออกไซด์เข้มข้น 5-35% โซเดียมแล็กเทตไบคาร์บอเนต โยฮิมบิน (yohimbin) เฟนฟลูรามีน (fenfluramine) กาเฟอีน เป็นต้น
อาการ
ผู้ป่วยจะมีอาการวิตกกังวลหรือรู้สึกกลัวอย่างรุนแรงเกิดขึ้นฉับพลันทันทีโดยไม่คาดคิดมาก่อน เกิดขึ้นเองโดยไม่มีสิ่งใดมากระตุ้น และกำเริบซ้ำบ่อย ๆ โดยแต่ละครั้งที่เป็น จะมีอาการดังต่อไปนี้ตั้งแต่ 4 อย่างขึ้นไป
- ใจสั่น หัวใจเต้นแรงหรือเร็ว
- เหงื่อแตก
- มือสั่น หรือตัวสั่น
- หายใจไม่อิ่ม หรือหายใจขัด
- รู้สึกอึดอัดหรือแน่นในหน้าอก
- เจ็บหน้าอกหรือไม่สบายบริเวณหน้าอก
- คลื่นไส้ หรือปั่นป่วนในท้อง
- รู้สึกมึนงง เวียนศีรษะ โคลงเคลง โหวงเหวง ปวดศีรษะ หรือเป็นลม
- รู้สึกว่าสิ่งต่าง ๆ รอบตัวแปลกไป หรือรู้สึกว่าตนเองแปลกไป
- กลัวว่าจะควบคุมตัวเองไม่ได้ หรือกลัวจะเป็นบ้า
- กลัวว่าจะตาย
- รู้สึกมึนชาหรือปวดเสียวตามตัว
- รู้สึกหนาวสั่น หรือร้อนวูบวาบไปทั้งตัว
อาการที่เกิดขึ้นไม่สัมพันธ์กับเหตุการณ์หรือสถานการณ์ใด ๆ ไม่เกี่ยวข้องกับโรคทางกายหรือการใช้ยาหรือสารใด ๆ อาจเกิดขึ้นขณะอยู่ในบ้านหรือนอกบ้าน ขณะอยู่ตามลำพังหรืออยู่กับคนอื่นก็ได้
อาการจะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว และเพิ่มความแรงถึงระดับสูงสุดภายใน 10 นาที แต่ละครั้งจะเป็นอยู่ไม่เกิน 20-30 นาที (น้อยรายที่จะเป็นนานเกิน 1 ชั่วโมง)
บางรายอาจมีอาการกลัวการอยู่ในสถานที่ที่ตนอาจเกิดอาการขึ้นมาแล้ว จะไม่ได้รับการช่วยเหลือ หรือหนีออกไปไม่ได้ (agoraphobia) ร่วมด้วย
ผู้ป่วยมักมีพฤติกรรมเปลี่ยนไปจากเดิมซึ่งเป็นผลมาจากอาการดังกล่าว (เช่น ไม่กล้าออกจากบ้าน) จนมีผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตประจำวัน
ภาวะแทรกซ้อน
ในรายที่มีอาการกำเริบบ่อย อาจมีผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตของผู้ป่วย เช่น แยกตัวเอง ไม่กล้าออกจากบ้าน ในเด็กอาจมีผลต่อการพัฒนาการ การเข้าสังคม และการเรียนหนังสือ
ผู้ป่วยมีโอกาสเสี่ยงต่อการเป็นโรคซึมเศร้า การฆ่าตัวตาย การติดแอลกอฮอล์ ติดยา หรือสารเสพติด
บางรายอาจมีโรคย้ำคิดย้ำทำร่วมด้วย
การวินิจฉัย
แพทย์จะวินิจฉัยจากอาการเป็นหลัก
การตรวจร่างกายขณะที่มีอาการกำเริบอาจตรวจพบชีพจรเต้นเร็ว ความดันโลหิตสูง หายใจเร็วเล็กน้อย มือสั่น หรือมีกลุ่มอาการระบายลมหายใจเกิน
แต่ถ้าผู้ป่วยมาพบเมื่ออาการทุเลาไปแล้ว ก็มักตรวจไม่พบสิ่งผิดปกติชัดเจน
ในรายที่สงสัยเป็นโรคทางกาย อาจต้องทำการตรวจพิเศษเพิ่มเติม เช่น ตรวจเลือด เอกซเรย์ คลื่นหัวใจ เป็นต้น
เกณฑ์การวินิจฉัยโรคแพนิก
1. มีทั้งข้อ ก. และ ข.
ก. มีอาการกำเริบซ้ำโดยคาดไม่ได้ว่าจะเกิดเมื่อไร
ข. อย่างน้อยในอาการกำเริบ 1 ครั้ง จะมีอาการข้อใดข้อหนึ่งดังต่อไปนี้ตามมาเป็นเวลาอย่างน้อย 1 เดือน
- มีความกังวลอยู่ตลอดเวลาว่าจะมีอาการกำเริบขึ้นมาอีก
- กังวลว่าอาการที่เกิดขึ้นจากโรคที่ร้ายแรง (เช่น โรคหัวใจ) หรือกลัวว่าจะเป็นอะไรไป (เช่น กลัวว่าหัวใจวาย หรือกลัวจะเป็นบ้า)
- มีพฤติกรรมเปลี่ยนไปอย่างชัดเจนอันเนื่องมาจากอาการที่เป็น (เช่น เก็บตัว ไม่กล้าออกจากบ้าน)
2. อาการที่เป็นนั้นไม่ได้เกิดจากสารกระตุ้น (เช่น ยา สารเสพติด) หรือการเจ็บป่วยทางกาย (เช่น คอพอกเป็นพิษ)
การรักษาโดยแพทย์
แพทย์จะให้การดูแลรักษา ดังนี้
1. ถ้าผู้ป่วยมีอาการเข้าได้กับเกณฑ์การวินิจฉัยโรคนี้ และมั่นใจว่าไม่มีโรคทางกาย (เช่น โรคหัวใจ คอพอกเป็นพิษ) ก็ให้การรักษาดังนี้
- ให้ยาแก้ซึมเศร้ากลุ่ม selective serotonin reuptake inhibitor (SSRI) เช่น ฟลูออกซีทีน
- ให้ยากล่อมประสาท เช่น อัลพราโซแลม
แพทย์จะให้ยา 2 ชนิดนี้ร่วมกันตั้งแต่แรก ถ้าอาการดีขึ้นจะให้ติดต่อกันนาน 4-6 สัปดาห์ แล้วจึงค่อย ๆ ลดยากล่อมประสาทลง จนเหลือยาแก้ซึมเศร้าเพียงอย่างเดียว
เมื่อควบคุมอาการได้ดีแล้ว ให้คงยาแก้ซึมเศร้าต่อเนื่องไปอีกอย่างน้อย 12 เดือน แล้วจึงค่อย ๆ ลดยาลงจนหยุดยาได้ โดยใช้เวลา 2-6 เดือน
2. ถ้าให้ยา 2-4 สัปดาห์แล้วไม่ดีขึ้น หรือผู้ป่วยรู้สึกกลัวหรือกังวลมาก นอกจากจะให้การรักษาด้วยยาดังกล่าวข้างต้นแล้ว ยังอาจมีการรักษาอื่น ๆ ร่วมด้วย เช่น การฝึกการผ่อนคลาย (relaxation training) การใช้เทคนิคจิตบำบัดและพฤติกรรมบำบัดต่าง ๆ
ผลการรักษา หากได้รับการรักษาอย่างจริงจัง และต่อเนื่องมักจะได้ผลดี บางรายเมื่อหยุดยาสักระยะหนึ่งก็อาจมีอาการกำเริบได้อีก ก็ควรจะได้รับยารักษาใหม่อีก
การดูแลตนเอง
หากสงสัย เช่น มีอาการวิตกกังวลหรือรู้สึกกลัวอย่างรุนแรง ใจสั่น หัวใจเต้นแรงหรือเร็ว
เหงื่อแตก มือสั่น หรือตัวสั่น เป็นต้น ควรปรึกษาแพทย์
เมื่อตรวจพบว่าเป็นโรคแพนิก ควรดูแลรักษาและปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ และติดตามรักษากับแพทย์ตามนัด
ในรายที่แพทย์ให้ยากลับไปกินต่อที่บ้าน ถ้ากินยาแล้วสงสัยเกิดผลข้างเคียงจากยา( เช่น มีลมพิษ
ผื่นคัน ตุ่มพุพอง ตาบวม ปากบวม คลื่นไส้ อาเจียน หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ ) ควรกลับไปพบแพทย์ก่อนนัด
การป้องกัน
ยังไม่มีวิธีป้องกันที่ได้ผล เนื่องจากโรคนี้ยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด
หากมีอาการ ควรปรึกษาแพทย์แต่เนิ่น ๆ และติดตามรักษากับแพทย์เพื่อควบคุมอาการ
ข้อแนะนำ
1. โรคนี้มักเกิดขึ้นโดยไม่ทราบสาเหตุชัดเจน และมักไม่เกี่ยวข้องกับการคิดมาก มีแนวโน้มกำเริบบ่อย ๆ การได้รับการรักษาอย่างจริงจังและต่อเนื่อง จะช่วยให้โรคหายหรือสามารถดำเนินชีวิตเป็นปกติได้ แต่ถ้าขาดการรักษาผู้ป่วยมักมีอาการเรื้อรังและอาจมีภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ
2. ผู้ป่วยมักมีความกลัวว่าจะเป็นโรคหัวใจหรือกลัวตาย บางครั้งเวลามีอาการกำเริบจะรีบมาตรวจที่ห้องฉุกเฉินของโรงพยาบาล แพทย์จะให้ความมั่นใจว่าโรคนี้ไม่ใช่โรคหัวใจ และไม่มีภาวะฉุกเฉินทางร่างกายแต่อย่างใด ผู้ป่วยสามารถดำเนินชีวิตและออกกำลังกายได้เช่นคนปกติทั่วไป